ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
1.เว็บเบราเซอร์ (web browser) หมายถึงอะไร?
ตอบ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล ที่จัดเก็บไว้ที่เว็บเซอร์วิซหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
2. การทำงานของเว็บเบราว์เซอร์?
ตอบ
การทำงานของบริการ WWW นี้จะมีลักษณะเช่นเดียวกันกับบริการอื่นๆ ของอินเทอร์เน็ต คืออยู่ในรูปแบบไคลเอ็นต์-เซิร์ฟเวอร์ (client - server) โดยมีโปรแกรมเว็บไคลเอ็นต์ (web client) ทำหน้าที่เป็นผู้ร้องขอบริการ และมีโปรแกรมเว็บเซิร์ฟเวอร์ (web server) ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการ โปรแกรมเว็บไคลเอ็นต์ก็คือโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ (web browser) นั่นเอง สำหรับโปรแกรมเว็บเซิร์ฟเวอร์นั้นจะถูกติดตั้งไว้ในเครื่องของผู้ให้บริการเว็บไซต์ การิดต่อระหว่างโปรแกรมเว็บบราวเซอร์กับโปรแกรมเว็บเซิร์ฟเวอร์จะกระทำผ่านโปรโตคอล HTTP (Hypertext Transfer Protocol)
กลไกการทำงานของเว็บเพจ สำหรับเว็บเพจธรรมดาที่โดยปกติมีนามสกุลของไฟล์เป็น htm หรือ html นั้น เมื่อเราใช้เว็บบราวเซอร์เปิดดูเว็บเพจใด เว็บเซิร์ฟเวอร์ก็จะส่งเว็บเพจนั้นกลับมายังบราวเซอร์ จากนั้นบราวเซอร์จะแสดงผลไปตามคำสั่งภาษา HTML (Hypertext Markup Language) ที่อยู่ในไฟล์
จะเห็นได้ว่าเว็บเพจดังรูปเป็นเว็บเพจที่มีลักษณะ static กล่าวคือ ผู้ใช้จะพบกับเว็บเพจหน้าตาเดิมๆ ทุกครั้งจนกว่าผู้ดูแลเว็บจะทำการปรับปรุงเว็บเพจนั้น นี่คือข้อจำกัดอันมีต้นเหตุมาจากภาษา HTML ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้อธิบายหน้าตาของเว็บเพจ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ HTML สามารถกำหนดให้เว็บเพจมีหน้าตาอย่างที่เราต้องการได้ แต่ไม่ช่วยให้เว็บเพจมี "ความฉลาด" ได้
การสร้างเว็บเพจที่มีความฉลาดสามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน หนึ่งในนั้นก็คือ การฝังสคริปต์หรือชุดคำสั่งที่ทำงานทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (server-side script) ไว้ในเว็บเพจ
จากรูปเป็นการทำงานของเว็บเพจที่ฝังสคริปต์ภาษา PHP ไว้ (ขอเรียกว่า ไฟล์ PHP) เมื่อเว็บบราวเซอร์ร้องขอไฟล์ PHP ไฟล์ใด เว็บเซิร์ฟเวอร์จะเรียก PHP engine ขึ้นมาแปล (interpret) และประมวลผลคำสั่งที่อยู่ในไฟล์ PHP นั้น โดยอาจมีการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล หรือเขียนข้อมูลลงไปยังฐานข้อมูลด้วย หลังจากนั้นผลลัพธ์ในรูปแบบ HTML จะถูกส่งกลับไปยังบราวเซอร์ บราวเซอร์ก็จะแสดงผลตามคำสั่ง HTML ที่ได้รับมา ซึ่งย่อมไม่มีคำสั่ง PHP ใดๆ หลงเหลืออยู่ เนื่องจากถูกแปลและประมวลผลโดย PHP engine ที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ไปหมดแล้ว
ให้สังเกตว่าการทำงานของบราวเซอร์ในกรณีนี้ไม่ต่างจากกรณีของเว็บเพจธรรมดาที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้เลย เพราะสิ่งที่บราวเซอร์ต้องกระทำคือ การร้องขอไฟล์จากเว็บเซิร์ฟเวอร์ จากนั้นก็รอรับผลลัพธ์กลับมาแล้วแสดงผล ความแตกต่างจริงๆ อยู่ที่การทำงานทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งกรณีหลังนี้ เว็บเพจที่เป็นไฟล์ PHP จะผ่านการประมวลผลก่อน แทนที่จะถูกส่งไปยังบราวเซอร์เลยทันที
การฝังสคริปต์ PHP ไว้ในเว็บเพจ ช่วยให้เราสร้างเว็บเพจแบบ dynamic ได้ ซึ่งหมายถึงเว็บเพจที่มีเนื้อหาสาระและหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปได้ในแต่ละครั้งที่ผู้ใช้เปิดดู โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ เช่น ข้อมูลที่ผู้ใช้ส่งมาให้ หรือข้อมูลในฐานข้อมูล เป็นต้น
3. ตัวอย่างเว็บเบราว์เซอร์ มา 3 โปรแกรม?
ตอบ
Firefox เป็นเบราว์เซอร์ประเภทกราฟิก หลายคนคงคิด อ้าว! แล้วเบราว์เซอร์แบบที่ไม่เป็นกราฟฟิกเป็นยังไง มันก็เป็นแบบตัวหนังสืออย่างเดียวเลยไง ซึ่งเจ้าเบราว์เซอร์ตัวแรกของมนุษยชาติก็คือ WorldWideWeb ลองดูตามรูป มีแต่ตัวหนังสือเพียบ ท่าทางเล่นแล้วจะเหนื่อย (เห็นแล้วสงสาร geek ในสมัยนั้นจริงๆ) ไฟร์ฟอกซ์ตัวนี้ได้ถือกำเนิดจากผลพวงของสงครามเบราว์เซอร์ในทศวรรษที่ 90 โดยตัวไฟร์ฟอกซ์ได้แยกตัวออกมาจาก Mozilla Suite หรืออีกชื่อหนึ่งคือ SeaMonkey ซึ่ง SeaMonkey ก็เป็นชุดโปรแกรมอินเทอร์เน็ตที่มี เว็บเบราว์เซอร์ โปรแกรมอีเมล์ โปรแกรมสร้างเว็บ โปรแกรมไออาร์ซี แอดเดรสบุก แต่เป็นเพราะ Seamonkey นั้นมีขนาดใหญ่ Mozilla ก็ได้ลองเปลี่ยนแผนการพัฒนาจากชุดโปรแกรมอินเทอร์เน็ตก็แตกย่อยออกเป็น เว็บเบราว์เซอร์ (Mozilla Firefox) และ โปรแกรมอีเมล์ (Mozilla Thunderbird) เดิมทีนั้นไฟร์ฟอกซ์นั้นไม่ได้ชื่อ Mozilla Firefox ตั้งแต่ต้น ชื่อเริ่มแรกเลยก็คือ Mozilla Phoenix แต่ชื่อดันไปซ้ำกับบริษัท Phoenix Technologies ผู้ผลิต Bios ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราๆท่านๆใช้กันอยู่นี้เอง ในวันที่่ 14เมษายน 2546 จึงต้องยกเลิกชื่อนี้ไป จากนั้นไม่กี่วันทาง Mozilla ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาอีกเป็น Mozilla Firebird ที่ทาง Mozilla อยากได้ชื่อนี้ก็เพราะว่า Firebird นั้น บางตำนานก็เชื่อว่าคือ Phoenix แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ชื่อนี้ดันไปซ้ำกับโครงการฐานข้อมูลโอเพนซอร์สที่ชื่อว่า FirebirdSQL ในตอนแรกทาง Mozilla ไม่อยากที่จะเปลี่ยนชื่อเท่าไหร่แต่ก็ถูกทาง FirebirdSQL กดดันหนักขึ้นเรื่อยๆจนทาง Mozilla ต้องจำใจยอมปล่อยชื่อ Firebird ไป คราวนี้ Mozillaได้รับบทเรียนมามากมายเกี่ยวกับชื่อ และทาง Mozilla ต้องหาชื่อที่ไม่เป็นปัญหากับโครงการใดๆเลยในโลกนี้ ทีมงานใน Mozilla ช่วยกันคิดชื่อออกมาประมาณ 200 รายชื่อ โดยความหมายต้องไปในทางเดียวกับ 2 ชื่อแรก และในที่สุดก็ได้ชื่อออกมานั้นก็คือ Mozilla Firefox แต่ทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ยังมีปัญหาขึ้นอีกเมื่อทาง Mozilla ได้ไปเจอว่าชื่อ Firefox นั้นมีคนเคยจดแล้ว แต่ด้วยความมานะอดทนของทีมงานและทนายความที่ช่วยกันเจรจา จนในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2547 Mozilla จึงได้ชื่อ Mozilla Firefox ออกมาเป็นของตัวเองในที่สุด และนายเบน กูดเจอร์ ก็ฝากข้อคิดมา ด้วยว่า ควรให้ความสำคัญในขั้นตอนการตั้งชื่อด้วย ควรทำการบ้านมาให้ดีก่อนที่จะตั้งชื่อโปรเจ็คอะไรสักอย่าง มิเช่นนั้นจะเป็นเหมือนกับเขาที่ต้องเปลี่ยนชื่อถึง 2 รอบ

Google Chrome คือเว็บเบราว์เซอร์ที่สร้างโดยกูเกิล เหมือนกับ Firefox อ่ะ แต่ เร็ว กว่า สวยกว่า ซึ่งตอนนี้ก็มาถึงเวอชั่น 4 แล้ว ด้วยการใช้งานที่ง่าย ฟรี และติดตั้งได้อย่างรวดเร็วในไม่กี่วินาที ซึ่งมีคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย
- ช่องแถบสำหรับใส่ที่อยู่เว็บก็ใช้เป็นช่องค้นหาได้ด้วย
- สามารถตั้งเลือกค่าให้บุ๊คมาร์คในแต่ละเครื่องปรับตรงกันได้โดยอัตโนมัติ
- สามารถลากแท็บออกจากเบราว์เซอร์เพื่อสร้างหน้าต่างใหม่ และรวมหลายๆ แท็บไว้ในหน้าต่างเดียว
- แท็บทุกแท็บที่กำลังใช้ ทำงานอย่างอิสระในเบราว์เซอร์
- มีโหมดไม่ระบุตัวตนสำหรับการเข้าชมแบบส่วนตัว
- มีส่วนขยายให้เลือกติดตั้งเพิ่มลงไปตามต้องการ
Opera คืออะไร Opera เป็นเบราเซอร์แบบ All-in-one คือมีทุกอย่างมาให้ครบถ้วนในตัวมัน (มีทั้ง Email Client, IRC client, Feed Reader, BitTorrent และยังมีลูกเล่นอื่น ๆ อีกมากมาย) Opera เป็นอีกหนึ่ง web browser คล้ายๆ กับ Internet Explorer และ Firefox โดยเดิมที opera เป็น เพียง project หนึ่งเท่านั้น ต่อมาในปี 1995 จึงได้ออกมาก่อตั้งบริษัท ทำเบราเซอร์ขายOpera นั้นเป็น browser ที่โดดเด่นเสมอมา เนื่องด้วยฟังก์ชันที่ก้าวล้ำนำหน้าคนอื่น ความปลอดภัยสูง รวมไปถึงความเร็วสูงด้วย จนในช่วงหนึ่ง Opera ถึงกับโฆษณาว่าเป็น The Fastest Browser เลยทีเดียว